Thursday, April 26, 2012

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่





หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" 





“ เมื่อชีวิตพ่อล่วงลับ ผู้เขียนก็ย้อนถึงหลวงปู่ทั้งหลายที่เคยมาร่วมงานประจำปีในอดีตที่ผ่านมา พบว่าแต่ละองค์ต่างทยอยลาโลกไปแทบครบองค์เสียแล้ว ใจหายน่ะมันมีแน่ แต่กลับซึ้งใจในความจริง ชัดเจนว่าพระอริยเจ้าผู้ทรงพระคุณต่อชาวโลกนี่ ท่านเกิดมาเพื่อความดับไม่เหลือเชื้อจริงๆ ระหว่างท่านทรงชีวิตอยู่ก็เป็นเนื้อนาบุญอันเกิดประโยชน์ชุ่มเย็นไม่มีประมาณต่อชาวโลก เมื่อสิ้นภาระร่างกายก็จบกิจหมดอาลัยเข้าสู่พระนิพพานดุจประทีปอันเรืองรองดับวูบไปฉะนั้น

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ก็เป็นประทีปแก้วอีกดวงหนึ่งซึ่งส่องแสงเจิดจ้าจับใจชาวโลก แล้วก็ดับไปตามสัจธรรมที่สมเด็จพ่อของเราทั้งหลายทรงแสดงไว้ 

เมื่อประมาณ 30 ปี ที่ผ่านมา ประทีปอันบริสุทธิ์เย็นใจดวงนี้ได้มาเพิ่มความสุขให้แก่บรรดาลูกพ่อ ที่วัดท่าซุงถึง 3 ปี ติดต่อกัน ได้ประทับฝากฝังความทรงจำแก่ผู้เขียนไม่มีลืมไปได้

หลวงปู่สิม เป็นศิษย์ของพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต จริยาของท่านสงบเยือกเย็นแผ่กระแสความเมตตาอย่างเป็นธรรมดา อย่างของจริง อย่างไม่มีประมาณ แต่ในจริยามารยาทที่สงบเงียบนั้น ใครจะทราบบ้างว่า ท่านทรงคุณอภิญญาสมาบัติและก็แสดงออกมาชนิดไม่ยอมอ้อมแอ้มค้อมแค้ม จะเล่าให้ฟังเอาไหม ?

ก็ต้องนำภาพการจัดงานวัดของเราเมื่อปี 2518 โน้น มาให้เห็นกันอีกจุดหนึ่งเสียก่อนคือ เมื่อจัดสรรที่พักให้หลวงปู่ทั้งหลายลงตัวแล้ว พ่อก็จัดลูกศิษย์ (คือพี่อ๋อยจัดแจงแทนพ่อทั้งหมด) ให้รับใช้ประจำองค์หลวงปู่ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้วในตอนต้น หลวงปู่สิมพักอยู่กุฏิเบอร์ 3 มีคุณธำรง (ศุภสิทธิ์) อารีกุล เป็นศิษย์ประจำองค์ ผู้เขียนทำหน้าที่อะไรล่ะ.... จะว่าเป็นหัวหน้าก็ไม่อยากจะว่า คือต้องรับบุญรับกรรมช่วยช่วยควบคุมดูแลแก้ปัญหาทั่วไปทุกกุฏิด้วย ที่ว่ารับบุญก็คือรับบุญมหาศาลที่ถวายความสะดวกกายสบายใจแก่พระสุปฏิบันโน ที่ว่ารับกรรมคือมันอย่างนี้.....

พ่อสั่งกำชับเป็นคำขาดว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนหลวงปู่ในกุฏิที่พัก ถ้าท่านจะสงเคราะห์ท่านก็ออกมานั่งอาสนะที่จัดถวายไว้ในศาลารับแขก คือที่พักชาย 17 ห้อง หลังพระอุโบสถ หน้ากุฏิ 10 หลัง นั่นแหละ ในตอนปี 2519 ยังเป็นศาลาโล่งเต็มแนวยาวเลย สร้างขึ้นเพื่อให้หลวงปู่ทั้ง 10 องค์ รับแขกโดยเฉพาะ ตรงกับกุฏิแต่ละหลังก็มีตั่งอาสนะประจำกุฏิ มีประตูทางเดินทะลุจากกุฏิเข้ามาได้เลย ใครๆ จะมาบำเพ็ญกุศลกราบนมัสการก็ให้นั่งคอยที่นี่จนกว่าท่านจะมาสงเคราะห์เอง ผู้ใดฝ่าฝืน พ่อสั่งเป็นคำขาดกับเจ้าหน้าที่รับใช้พระว่า

“จับมันมัดไว้กลางลานวัดหน้าโบสถ์เลย ข้าจะดูซิว่าใครจะกล้าฝ่าฝืนหานรกใส่หัวบ้าง พวกแกไม่ต้องกลัวใคร หัวหงอกหัวดำมัดประจานไว้เลย ข้าจะชำระมันเอง....”

........ผู้เขียนและคณะ “ลิงรับใช้พระ” นั้นปลื้มมากลำบากใจแค่ไหน โธ่....หลวงปู่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ตั้ง 10 องค์ มาสถิตส่องแสงเจิดจ้าอยู่หลังพระอุโบสถ ใครจะไม่อยากเข้าไปกราบเพิ่มบุญตัวเอง ยิ่งได้กราบเป็นส่วนตัวในกุฏิเป็นพิเศษ มันเป็นยอดของความปลื้มใจอยู่แล้ว จึงมีผู้ใหญ่มากท่าน มายืนขู่เด็กลิงรับใช้พระจะเข้าไปทำบุญกับหลวงปู่ในที่..... ขอโทษ ! ... ในที่นอนนั่งสบายอิริยาบถของท่าน แล้วก็ยังมีที่ไม่กล้าใหญ่นัก.... ยืนชะเง้อมองมาที่กุฏิตลอดเวลา ตอนนั้นผู้เขียนยังสงสารไม่เป็น ยังคิดเห็นใจใครไม่ออก คิดออกอยู่อย่างเดียวว่า คำสั่งพ่อคือสิ่งที่ต้องรักษาและทำตามด้วยชีวิต แล้วยังนึกถึงหัวตะพดเลี่ยมเงินในมือพ่อ คิดถึงรสชาติความเจ็บมึนมากๆ เวลาถูกตีกบาล ตัวอาจจะโดนอย่างอื่นของพ่อประทับเข้าให้อีกต่างหาก จึงได้กีดกันขันแข็งจนเถียงกับผู้ใหญ่ทุกวัน กรรมของลิง เลิกงานวัดแล้วไปยกมือไหว้ท่าน... ยังไม่รู้ว่าจะรับไหว้กันหรือเปล่าหนอ.... (คำรำพึงเมื่อ 30 ปี ก่อนโน้น...)

....ก็มาถึงเรื่องของหลวงปู่สิม ความเมตตาจริยาปกติของท่าน ยิ่งเป็นทุกขลาภของผู้เขียนหนักเข้าไปอีก คือหลวงปู่สิมน่ะเวลาท่านฉันอาหาร เอ.... จำไม่ได้ว่าฉันมื้อเดียวหรือเปล่า เวลาจะฉันอาหารท่านจะเรียกญาติโยมที่ถวายอาหารเข้าไปรับพร ยถา....สัพพีก่อนแล้วจึงฉัน เพราะท่านฉันช้าฉันนาน ฉันไปพิจารณาธรรมไป ตามสบายของท่าน ตามแบบของพระฉันมื้อเดียว (เกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ...) ทีนี้ท่านเรียกแม่ครัวทุกคนเข้าไปรับพรน่ะซิ (ตายละจะเอายังไงดี) ก็ต้องรีบกราบเรียนท่าน

“หลวงปู่ครับ หลวงพ่อห้ามคนเข้ามารบกวนที่กุฏิครับ...” 

ท่านยิ้ม

“เขามารบกวนที่ไหน เขามาทำบุญให้หลวงปู่อิ่มหนำสำราญ แล้วเขาก็ไม่ได้เข้ามาเอง......หลวงปู่เรียกเข้ามา....”

“ก็....หลวงพ่อสั่ง....”

ท่านยิ้มอีก... ยิ้มแบบฉันตอบเธอได้

“หลวงพ่อท่านห้ามเฉพาะคนรบกวนหรอกน๊า.... เธอไม่เห็นเหรอนั่นน่ะ หลวงพ่อยิ้มอยู่ในกุฏิพยักหน้าให้หลวงปู่เรียกเข้ามาได้....”

โดนเข้าไม้นี้ แหมมันคนละไม้กับไม้ตะพด มันมึนด้วยหูผึ่งด้วย ก็เลยนึกออกถึงคำสั่งพ่อที่เพิ่มเติมมาภายหลังว่า

“นอกจากคนที่ถือจดหมายมีลายมือข้าอนุญาต หรือคนที่หลวงปู่เรียกเข้าพบจึงจะให้เข้าไปได้...”

ก็เลยเต็มใจอนุญาต แต่ก็ยังคันหัวใจว่า.... พ่ออยู่กุฏิริมน้ำคนละฝั่งถนน นี่พวกเราอยู่กันในกุฏิหลังพระอุโบสถ หลวงปู่ท่าน “เห็นพ่อพยักหน้าอนุญาต” เอ.... นี่หลวงปู่ก็ยิ้มอีก ทีนี้ยิ้มแบบรู้ใจ

“จะสงสัยอะไรกันอี๊ก...ก ไม่มีอะไรที่ไหนที่หลวงพ่อท่านไม่รู้...”

ที่หลวงปู่รู้ว่าพ่อรู้อะไรทุกอย่างนั่นหรอกที่คันหัวใจผู้เขียน แล้วก็เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ลูกพ่อที่เป็นแม่ครัวและผู้รับใช้พระได้เข้ากราบรับพรกันหมด ท่านก็นั่งยะถา เราก็นั่งนอบรับฟัง รับพร ท่านฉันไปก็ให้เรานั่งดูท่าน ฉันวันนั้นฉันเร็ว คงปรารถนาจะทำเรื่องสนุกใจลิงต่อไป ฉันเสร็จล้างมือ ถอดฟันปลอมออกมาล้างน้ำในถ้วย ถอดออกมาทั้ง 2 แถว ปากโบ๋บุบแก่ทันทีเลย ท่านยิ้ม ไม่ยอมใส่ฟันปลอมซ้ำยังถามว่า

“ตอนนี้หลวงปู่สวยไหม...”

ถึงตอนนี้บางคนไหว้นบมือแนบหน้าผาก เข้าใจอะไรแล้วก็ไม่รู้ เห็นหน้าสงบน้ำตาไหลแล้ว แล้วหลวงปู่ก็ใส่ฟัน.... ทำช้าๆ.... ทุกอย่างนี่ทำช้าเหมือนทำอยู่ตัวคนเดียว ตอนใส่ฟันนี่ก็ยิ้มสวยไปอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้สนุกละ....ท่านพูดให้พรเสริมมาประโยคเดียว พูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่ม

“เอ๊อ.... ขอให้อายุยืน 100 ปี เน้อ....”

มีเสียงตอบพรนี้ขึ้นทันควัน เสียงดังด้วย เสียงผู้หญิงน่ะ!

“หนูไม่เอ๊าหลวงปู๊....”

เสียงพรวด ! หลวงปู่สำลักน้ำ รีบบ้วนใส่กระโถน

“อ๊าว ! ทำไมล่ะ”

“แค่นี้ก็แย่อยู่แล้วหลวงปู่ (เธออายุสัก 30 ปี เห็นจะได้) ถ้าอายุ 100 ปี หนูก็ทุกข์ตายเลย”

“เออ....หนอ... ลูกหลวงพ่ออย่างนี้แหละหนอ...”

ท่านยิ้มแจ่มใสนุ่มนวลเลย พยักหน้าหลายทีแบบพอใจมากเลย แต่ยังไอหน่อยๆ เพราะพิษสำลักน้ำ....ท่านคงจะเพิ่งเคยพบคนแบบนี้ พวกเราหัวเราะตามท่านไปด้วย ....ถึงตอนนี้ใจผู้เขียนพองจนบวม ....พอบวมปากก็คันตามเคย

“หลวงปู่ว่า หลวงพ่อทราบที่เราเข้ามากันแล้ว คงไม่โดนดุนะครับ...”

ถึงจะฟูยังไงก็ยังระแวงภัยตะพด

“เอ๊ย... บอกแล้วยังจะถาม เอ๊อ...จะมีอะไรที่หลวงพ่อท่านไม่รู้.....” หลวงปู่สิมเรียกพ่อว่า “หลวงพ่อ” ทุกคำเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่อายุไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใคร

“มีอะไรที่หลวงพ่อท่านทำไม่ได้ เรื่องอภิญญาทำฤทธิ์นี่ หลวงพ่อท่านทำได้มากกว่าคนอื่น เอ๊อ ! รู้ไหมว่าหลวงพ่อท่านทำฤทธิ์ได้ล่วงหน้า สั่งฤทธิ์ให้ออกผลนานๆ ได้....”

ตอนนี้หูผึ่งกางใบรับกระแสเสียงหลวงปู่กันเต็มที่เลย ตายังงี้.... จ้องหลวงปู่สิม ตายังงี้พูดได้กันทุกคนเลย (หลวงปู่พูดมาเลย พูดเร็วๆ .. พูดเร็วๆ....)
หลวงปู่สิมก็ฟังภาษาลิงตาของลิงออกแฮะ ท่านพูดต่อ ท่านถามน่ะ

“เธอสังเกตไหมว่าตอนเตรียมงานนี่แดดร้อนจ้าตลอดวัน...”

“ครับ”

“นั่นแหละ ! หลวงพ่อท่านอธิษฐานฤทธิ์ไว้อย่างนั้น ท่านทำให้แดดร้อนจัดก่อนวันงาน 7 วัน พวกเธอจะได้วิ่งทำงานกันไม่งั้นจะเสร็จไม่ทันวันงาน เธอไปคอยดูนะ.... ก่อนในหลวงมา 1 วัน ฝนจะตกให้ดินชุ่มไม่มีฝุ่น วันในหลวงมา ฝนจะพรำพรมดินก่อนเสด็จ 1 ชั่วโมง พอในหลวงมาถึงจะมีเมฆใหญ่เหมือนร่มกางคลุมวัดกว้างครึ่งกิโล (กิโลเมตร) พอในหลวงกลับแล้วก็เย็นสบาย เสร็จงานวันรุ่งขึ้นฝนเทท่วมถึงข้อเท้าเลย.... นั่นแหละฤทธิ์ของหลวงพ่อ ท่านทำสั่งได้อย่างนั้น คอยดูซิ....”

นี่ผู้เขียนจำได้ 99 เปอร์เซ็นต์ตามคำหลวงปู่สิมเลย เชื่อทันทีเลยด้วยเพราะ 7 วัน ที่ผ่านมาเตรียมจัดกุฏิ จัดอาสนะรับแขกให้หลวงปู่นั้นแดดมันร้อนตั้งแต่เช้าจรดเย็นจริงๆ ร้อนจนต้องวิ่งทำงาน โธ่.... วัดท่าซุงตอนปี 2518 ฝั่งโบสถ์นี่ต้นไม้สักต้นก็ไม่มี มันร้อนทั้งหัวตลอดถึงเท้า ถ้าไม่วิ่งก็ไม่ไหว พัดลมทหารอเมริกันจากตาคลีนี่ตัวมันสูงใหญ่แล้วก็หนัก ถ้าหาม 2 คนนี่ ต้องวางพักเป็นระยะ แต่ถ้ามัวหามเดินตีนพองแน่ (ทำงานสมัยโน้นคนน้อย ใส่รองเท้าไม่ทันหร๊อก) จำเป็นต้องแบบวิ่งคนเดียว (แบก 2 คนวิ่งเคยยื้อกันลงนอนทั้งคู่ ของก็เสียหาย หัวก็โดนตะพด) ทุกอย่างทำลักษณะอย่างนี้ ทำขนาดนั้นกว่าจะเสร็จก็ดึกดื่นก่อนงานคืนเดียว.... มันจริงอย่างท่านว่าทั้งนั้น

แล้วยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านั้นท่านผู้อ่านเอ๋ย.... เหตุการณ์ในหลวงก่อนจะเสด็จ... กำลังประทับอยู่ที่วัด หลังจากในหลวงกลับไปแล้ว ตลอดจนวันรุ่งขึ้นเลิกงานแล้ว มันเป็นไปตามที่หลวงปู่สิมบอกว่า “พ่อของเราอธิษฐานไว้ทุกประการ”ไอ้ความระยำ คือที่ผู้เขียนยังไม่เต็มอารมณ์ในตัวพ่อนั้น มันละลายไปกับสายฝนวันปิดงาน มันเย็นชุ่มฉ่ำใจยิ่งกว่าน้ำฝนที่ท่วมชุ่มพื้นวัดวันนั้น

ผู้เขียนแอบกราบกับพื้นธรณีของวัดท่าซุง ลูกขอกราบพระบาทพ่อขอขมากรรมทั้งหลายที่เคยดูเหมือนจะไม่เชื่อพ่อสนิทใจ ทั้งๆ ที่พ่อนั้นทรงพระคุณล้นเหลือ เพียงแต่พ่อเอาพระเดชออกหน้าแทนพระคุณ เพื่อกำราบปราบมารเกเรอย่างลูกๆ ให้อยู่ในร่องในรอย เพื่อจะได้เดินตามรอยเท้าพ่อไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ซึ่งพ่อก็บอกอยู่เสมอว่า

"เหลืออีกเพียงก้าวเดียวลูกเอ๋ย ก้าวเดียวชาติเดียว ก้าวสุดท้ายนี้พ่อจะทำทุกอย่างทุกวิธีให้ลูกถึงชัยชนะเหมือนพ่อ พ่อจะทั้งล่อทั้งชน พ่อจะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ พ่อจะเอาหลังมือกำราบความดื้อในใจลูก แล้วเอาหน้ามือลูบหัวชื่นชมเมื่อลูกทำได้เหมือนพ่อ ตามพ่อมาเถิด พ่อคอยลูกทุกคนอยู่ที่ปลายทางแห่งความทุกข์นี้"
บัดนี้พ่อไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว ฝากไว้แต่รอยเท้าที่เด่นชัดสวยงาม ตรงแน่วแน่เป็นระเบียบ สวยงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด กายทิพย์อันเจิดจ้านุ่มนวลของพ่อปรากฏอยู่ตรงที่สุดของอริยมรรคตรงหน้าเรานี่แล้ว จงดูเถิด..... พ่อของเรายิ้มสวยไหม

ลูกๆ ขอกราบรอยเท้าพ่อ ขอบรรจงสอดรอยเท้าเดินตามไปทุกรอยด้วยความมั่นใจ ลูกๆ ต้องทำได้อยู่แล้ว เพราะลูกๆ เป็นลูกพ่อ

นี่เขียนไปเป่าปี่ไป ลืมถามความเห็นท่านผู้อ่าน ถ้าหลวงปู่สิมทราบรายละเอียดการอธิษฐานฤทธิ์ของพ่อได้ถูกต้องยาวเหยียดอย่างนี้ หลวงปู่เป็นพระระดับไหนกันหนอ อันที่จริงพ่อก็บอกกับผู้เขียนแล้วว่า

“แกระวังตัวกันหน่อย บุญมากบาปก็มาก หลวงปู่สิมน่ะเป็นพระจบกิจแล้ว ระวังใจลูกเอ๋ย.... ใจเคารพมุ่งมั่นให้ท่านสะดวกกายสบายใจ กริยาอาการร่างกายจะโดกเดกไปหน่อยก็ไม่เป็นไร...” 

ค่อยชื่นใจลิงหน่อย.... แล้วก็ปลื้มใจมากไม่มีประมาณด้วย

.....หลังจากเสร็จงานวัดทั้ง 3 ปี แล้ว พระคุณหลวงปู่สิมก็ยังเมตตาวนเวียนมาเยี่ยมพ่อที่ซอยสายลมเสมอ ยังจำได้ วันนั้นตอนบ่ายพ่อคุยกับลูกๆ เต็มห้องโถง พอหลวงปู่สิมมากราบ กราบงามจริงๆ นอบน้อมจริงๆ พ่อเราก็เมตตานุ่มนวลรับไหว้.... นิมนต์หลวงปู่นั่งบนเก้าอี้อาสนะที่พ่อนั่งเทศน์กลางคืน

“เอ้า...สิม (พ่อเรียกอย่างนี้จริงๆ แต่น้ำเสียงฟังออกเลยว่าทั้งนุ่มนวลทั้งชื่นชม) ช่วยเมตตาเทศน์ให้ลูกหลานฟังทีเถอะ ผมท้องไม่ดีเลยนั่งอั้นอยู่นานแล้ว.....”

พ่อหายไปแล้ว.... ไม่ลงมาเลยเกือบชั่วโมงที่หลวงปู่เทศน์ เมื่อจบแล้วพ่อจึงลงมานั่งคุยกันต่อ แต่หลวงปู่ดูจะกลัวๆ พ่อ ไม่ค่อยโต้ลูกเหมือนหลวงปู่บุดดา ผู้เขียนไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามาทราบเรื่องสำคัญของมารยาทพระแท้เข้า คือ ไอ้ปากที่คันเป็นสันดานนั่นแหละที่ถามพ่อในภายหลัง

“ทำไมหลวงพ่อไม่นั่งอยู่ให้ลูกๆ ชื่นใจคู่กับหลวงปู่สิมตลอดเวลา......”

พ่อก็ตอบเต็มใจเมตตา แต่ปากออกมาอีกอย่างหนึ่ง

“ไอ้คนระยำอย่างแกนี่จะบวชเป็นพระกับเขาได้ยังไง จำไว้นะประเพณีมารยาทพระแท้น่ะ ถ้าองค์หนึ่งเทศน์หรือแสดงธรรมอยู่ อีกองค์ท่านจะหลีกเร้นไปเพื่อถวายความเคารพในพระธรรม และองค์แสดงธรรมก็จะแสดงธรรมสะดวกใจ นอกจากจะเป็นการเทศน์หลายธรรมมาสน์ หรือนั่งสนทนาธรรมเป็นปกติธรรมดาๆ”

ผู้เขียนก็ยังงง ... เอ ... ถ้าพระนั่งกันอยู่เต็มในศาลาประเพณีทำบุญ ฟังเทศน์ มิต้องลุกกันพึ่บพั่บหรือ ก็เลยโดนเข้าไปอีก (แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่ทันจะได้ถามเถิมอะไรเลย)

“โง่.... แล้วยังอวดฉลาด แล้วยังทะลึ่ง (เต็มที่เลย) ข้าหมายถึงพระอรหันต์หรือพระที่เป็นที่ยอมรับของประชาชน 2 องค์ อยู่ในที่เดียวกัน เป็นมารยาทประเพณีที่ต้องถวายความสนใจของประชาชนให้อยู่ในที่องค์แสดงธรรมเสมอ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้นั่งสงบฟังธรรมไปด้วยความเคารพ ไม่บังอาจสอดแทรกหรือแบ่งแยกความสนใจ หลวงปู่สิมท่านเป็นพระอรหันต์ ข้าเองแม้จะไม่ได้เป็นอะไรกับเขา (พ่อหลบเก่งมาก น่ารักมากอย่างนี้เสมอ) ก็ยังต้องเคารพอริยประเพณีอันนี้”

โอย..... (ทั้งเจ็บแสบ ทั้งละอาย) ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังทะลึ่งอวดซ้ายอ้างขวาขวางลำท่านผู้สูงกว่าด้วยคุณธรรมและอาวุโสอยู่บ่อยๆ นี่มันอวดโง่ทำเก่งเกินจริยาพ่ออยู่บ่อยๆ ทำไมถึงได้รักษาความเลวได้คงเส้นคงวาอย่างนี้หนอ

แล้วยังนึกถึงหลวงปู่สิม ก็ยิ่งเห็นเด่นชัดในจริยาพระทองคำแท้ ครั้งหนึ่ง..... พ่อไปแจกของให้กำลังใจทหารตำรวจที่ชายแดนตราพระยาด้านเขมร พ่อก็ชวนหลวงปู่สิมไปด้วย ลูกหลานพ่อก็เต็มขบวนเสด็จเลยละไปทำงานกัน สำหรับพี่น้องทหารหาญที่พลีชีวิตยอมลำบากเพื่อรักษาแผ่นดินพระพุทธศาสนาของเรานี้ พ่อไม่เคยทอดทิ้ง

พ่อบอกให้หลวงปู่สิมช่วยแจกเหรียญ หลวงปู่ก็นบไหว้รับคำ แจกเหรียญกูผู้ชนะและผ้ายันต์พิชัยสงครามแก่ทหารลูกหลานที่เข้าแถวมารับ.... พ่อบอก “สิม.... ช่วยให้โอวาทให้กำลังใจไอ้หนูทหารมันหน่อยเถอะ”

หลวงปู่สิมก็หันมาไหว้ยิ้มบอกว่า “กระผมไม่บังอาจ นิมนต์หลวงพ่อเถิดขอรับ”
พ่อบอก “เอ้า ! ฉันข้าวกันเถอะ” หลวงปู่ก็นอบน้อมร่วมฉันในอาการสำรวมนอบนบแต่งามสมภูมิของสงฆ์

อย่างนี้เองหนอคือความงามของสงฆ์ องค์หนึ่งเมื่อจำต้องนั่งในฐานะดูเหมือนสูงกว่า นุ่มนวลเมตตา ไม่มีอาการยกตัวแม้แต่น้อย
องค์หนึ่งก็ถ่อมถอยคารวะ แต่ก็ดูเต็มใจเต็มตา ....ชื่นอกชื่นใจแก่ผู้ได้พบเห็น


บัดนี้เดือนดวงเด่นแห่งภาคเหนือดวงนั้นได้ดับไปแล้ว
บัดนี้ตะวันทรงกลดประจำชีวิตลูกๆ..... ก็ลาลับฟ้า
แต่แสงสว่างอันอบอุ่นเยือกเย็นเป็นสุขของพระคุณท่าน.... จะเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในใจลูกๆ ทั้งหลายไม่มีวันเวลาสุดสิ้น ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน





อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 3 หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร)






หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร หรือ พระครูสันติวรญาณ
แห่งสำนักสงฆ์ “ถ้ำผาปล่อง” อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่


"........ผมไม่เคยพบท่านมาก่อนหน้านั้น แต่ทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นว่าท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จาริกมาแสวงหาความสงบวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัด “อโศการาม” อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ (ก็วัดหลวงพ่อลีฯ นั่นแหละครับ) แต่ท่านเบื่อคนจึงหนีมาอยู่ถ้ำ กระนั้นก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาท่านจนพบ

........เขาว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ผมเคยคิดจะไปนมัสการท่านอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ล้มเลิกไปเพราะได้มาพบหลวงพ่อฯเสียก่อน มีอะไรให้ต้องเรียน ต้องศึกษามากมายไม่รู้จบจากหลวงพ่อฯ จึงไม่คิดจะไปหาอาจารย์องค์ไหนอีก เผอิญหลวงพ่อฯท่านชวนว่า คณะของท่านจะไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ และจะเลยไปนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ด้วย

“อ๊ะ..ได้การ แจ๋วจริงๆ” 

ผมคิดในใจ เพราะว่าหลวงปู่แหวนฯนั้น ผมก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากรุ่นพี่และเพื่อนๆพวกทหารอากาศว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนา แต่ก็ไม่เคยได้ไปนมัสการสักที ทั้งๆที่เคยทำงานอยู่แถบนั้น

“ฮ้า..เหมาะเลย ได้นกหลายตัว” 

จึงกราบเรียนรับปากว่าจะไป แต่ไม่ไปพร้อมคณะเพราะเบื่อคนหมู่มาก ผมจะไปสมทบที่เชียงใหม่เลย ตอนนั้นผมถูกยิงแข้งขาไม่ค่อยจะดี นั่งรถนานมันปวดจึงเดินทางไปโดยเครื่อง บดท. แล้วตามไปสมทบที่น้ำตกแม่สา โดยผมช่วยราชการอยู่ที่กองอำนวยการเคลื่อนย้ายทหารจีนชาติผู้อพยพ หรือบก. ๐๔ ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ที่เชียงใหม่ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น กองอำนวยการพัฒนาอาชีพผู้อพยพทหารจีนชาติ เดี๋ยวนี้คงเลิกไปแล้ว) ทหารมารับผมจากสนามบินแล้วร่วมกับขบวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯแวะชมถ้ำเชียงดาว แล้วพากันขึ้นไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯบนถ้ำ

อันว่าทหารคนขับรถนี้ไม่ใช่คู่หูคนเดิมที่เคยขับรถให้ผมเสมอๆ แต่เขามีหน้าที่ดูแลบ้านพักของนายทหารระดับผู้ใหญ่มากๆท่านหนึ่งที่นั่น เขาว่างและอยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อสิมฯ จึงได้อาสาขับรถแทนให้กับเจ้าคู่หูของผมซึ่งเผอิญเกิดความจำเป็นที่สำคัญบางประการขึ้นมาพอดี ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าหน่วยก้านพอไปไหว แม้จะอ้วนไปสักหน่อย เป็นทหารอากาศแต่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอกครับ อยู่ภาคพื้นดินมาโดยตลอด 

โดยผมชี้แจงว่าที่เรามานี้เรามากับคณะนักบุญซึ่งมีหลวงพ่อฯเป็นผู้นำ กำหนดจะพักค้างคืนบนถ้ำ พวกนักบุญเหล่านี้เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมา และเราซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า บริเวณดังกล่าวนั้นเป็นที่เปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เราจะต้องทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองปลอดภัยกับพวกเขาด้วยนะ ไม่ใช่ว่ามาเที่ยวอย่างเดียว เขาบอกว่าเขาเต็มใจ ตกลงเบิกเอ็ม ๑๖ ไป ๒ กระบอก นอกจากนั้นผมยังมีปืนพกส่วนตัวติดไปอีก ๑ กระบอก 

เมื่อเดินทางไปถึงเชิงเขา เวลายังไม่ทันพลบค่ำ ผมกับเขาเดินตามคณะขึ้นไปที่ถ้ำผาปล่องโดยเขาอาสาจะเอาเอ็ม ๑๖ ทั้ง ๒ กระบอกขึ้นไปด้วย โดยผมกำชับให้ห่อให้มิดชิดไม่ให้ประเจิดประเจ้อเป็นอันขาด เขารับปากแต่แล้วเขาก็ลืมเอาปืนที่ว่าขึ้นไป จึงได้ขอแก้ตัวโดยอาสาว่าเมื่อมืดแล้ว เขาจะลงมานอนเฝ้าทรัพย์สินในรถของคณะใหญ่ซึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา (ผมเลย O.K.)

โดยผมรับจะดูแลด้านบนถ้ำเอง เขาได้ลงมาจากถ้ำเมื่อมืดสนิทแล้วหลังจากรับพระเครื่องมาจากหลวงปู่สิมฯ แถมยังเอาปืนพกของผมลงไปด้วยเพราะระหว่างทางลงเขาสภาพไม่น่าไว้วางใจ ผมเองก็นึกเคืองเขาอยู่เหมือนกันว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นบนเขาแล้วผมจะเอาอาวุธที่ไหนไปต่อกรกับคนร้าย แต่เมื่อหารือกับบางคนทราบว่ามีเครื่องทุ่นแรงแบบเดียวกับผมอยู่บ้างก็เลยตามเลย 

ตอนดึกระหว่างคณะบนเขากำลังจะนอนพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ณ บริเวณที่จอดรถ ชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันกรูลงไปดูเหตุการณ์พบว่า เขาถูกคนร้ายยิงที่บริเวณท้องถึงไส้ทะลัก เอาปืนของผมยิงต่อสู้ไปหลายนัดเหมือนกันดันถูกแต่ต้นกล้วย พวกนักบุญช่วยกันพาเขาไปส่งที่อนามัย ซึ่งอนามัยก็รับรักษาไม่ไหวต้องนำส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสวนดอก ผมว้าวุ่นมากไหนจะห่วงคนเจ็บ ไหนจะห่วงคนเป็น เพราะหวั่นไหวกันไปหมดด้วยเกรงภัยจากโจรร้าย 

ต่อมาตำรวจท้องที่ทราบเหตุนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลสวนดอก ที่เชียงใหม่ ผมนั้นคิดว่าเขาไม่น่าจะรอดเพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก ผมได้ขอให้คุณหมอชุติ เนียมสกุล ขับรถพาผมไปดูเขาที่โรงพยาบาลเพราะผมขับรถเองไม่ได้ หลังจากที่ได้นมัสการกราบเรียนให้หลวงพ่อฯทราบแล้ว และได้ติดต่อขอให้ตำรวจท้องที่มาดูแลให้ความปลอดภัยคณะใหญ่เป็นที่เรียบร้อยหมดกังวลไปเปลาะหนึ่ง 

หมอชุติฯท่านก็แสนดีคำน้อยสักคำก็ไม่ปริปากบ่น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆนะครับ แถมยังคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามภูเขา ขนาดคนเป็นยังแย่แล้วคนเจ็บจะเป็นอย่างไรผมไม่อยากคิด เพราะผมเองก็เคยมาแล้วเมื่อครั้งที่ถูกยิงที่ชายแดน นอกจากนั้นผมก็ยังกังวลใจว่าจะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี เพราะคนที่ถูกยิงไม่มีชื่ออยู่ในคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ขอแทนกันเอง 

อุบา! ปัญหาร้อยแปดพันเก้า แต่แล้วทุกอย่างก็คลี่คลาย เขาปลอดภัย (๗ วัน ออกจากโรงพยาบาลมาเดินปร๋อเลยครับ ไม่น่าเชื่อ แถมยังคุยโม้อีกว่าถูกตัดไส้ไปวาสองวาดีเสียอีกจะได้เปลืองข้าวน้อยลง) เรื่องทางวินัยก็ไม่โดนได้อาศัยท่านโกษาป่องกรุยทางผู้บังคับบัญชาที่นั่นให้ (แถมปีนั้นได้เลื่อนขั้น ๒ ขั้น อันนี้ฝีมือผมขอให้เอง)

ผมแก้ปัญหาจนเสร็จสรรพ จึงได้วกกลับมายังถ้ำผาปล่อง คณะใหญ่กลับไปแล้ว (เดินทางต่อไปเพื่อไปนมัสการหลวงปู่แหวนฯ) หลวงพ่อสิมฯท่านกรุณาให้ผมกับลูกน้องชุดใหม่พักผ่อนหลับนอนในถ้ำที่ท่านจำวัดอยู่ ผมจึงได้โอกาสพูดคุยกับหลวงพ่อสิมฯอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในขณะนั้นผมเองเกิดความลังเลสงสัยในตัวหลวงพ่อฯ เพราะในวันที่เกิดเหตุนั้น ก่อนเกิดเหตุหลวงพ่อฯได้พูดกับลูกศิษย์ลูกหาว่า 

"มีเทวดามาโมทนาการทำบุญของพวกเรามากมาย ท่านแม่ศรีฯ ก็มา ท่านพ่อพระอินทร์ก็มา ท่านท้าวมหาชมภูก็มา วู้ย! เยอะแยะ ไม่น่าเชื่อ...ก็จะไปให้เชื่อได้ยังไง ถ้ามีจริงมาจริง ทำไมจึงปล่อยให้ลูกน้องของผมถูกคนร้ายยิงเอาเกือบตาย ไม่จริงละมั๊ง ดูๆไม่น่าเชื่อนี่นา

ขอเรียนให้ทราบเสียก่อนนะครับ ในสมัยที่เกิดเหตุนั้น ผมเพิ่งจะหัดภาวนา “พุทโธ” เท่านั้นเอง ลืมตาหลับตาได้แต่ภาวนาพุทโธเป็นสรณะ ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรพิสดาร แต่เอาละ ไอ้เรามันก็ชายชาตินักรบ ไม่ชอบทำอะไรคลุมเครือ เราไม่เห็นเองและไม่เชื่อ อย่ากระนั้นเลยเราถามหลวงพ่อสิมฯดีกว่า ผมตัดสินใจถามหลวงพ่อสิมฯเลยครับ ถามว่าเทวดามีจริงหรือ 


หลวงพ่อฤาษีท่านติดต่อกับเทวดาเห็นเทวดาได้จริงหรือ เทวดาเหล่านั้นเป็นใคร มีความผูกพันอย่างไรกับหลวงพ่อฤาษี ท่านแม่ศรีคือใคร ท่านท้าวมหาชมภูเป็นใคร เทวดานักรบมีจริงหรือ ใครเป็นหัวหน้า ทำไมปล่อยให้ลูกน้องผมถูกยิง เรียกว่าผมระดมคำถามแบบกระหน่ำยิงไม่เลี้ยงเลยครับ คิดในใจว่าถ้าหลวงพ่อสิมฯตอบไม่ตรงกับที่หลวงพ่อฯเคยพูด หรือแม้เพียงลังเลบิดพริ้ว ผมก็จะเลิกนับถือ “ทั้ง ๒ องค์” นั่นแหละครับ 

พ่อแม่พี่น้องรู้ไหมครับ หลวงพ่อสิมฯ มิได้ลังเลเลย ท่านตอบทันทีว่าเทวดามีจริงมาจริง ท่านแม่ศรีเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (อันนี้อาจจะคลาดเคลื่อนของชั้นไปนิดหนึ่ง) ท่านท้าวมหาชมภูเป็นใคร ใครเป็นใคร หลวงพ่อสิมฯ แจง ๑๕๐ เบี้ยเลยครับ คือแถมให้อีก ๑๔๖ เบี้ย กระเซ้าผมว่าถ้าอยากรู้เองเห็นเองให้หมั่นฝึกตามที่หลวงพ่อพระมหาวีระฯ สอนเถิด แล้วจะได้รู้ความจริงไม่ต้องถามใคร 

ส่วนเหตุที่บังเกิดนั้นเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม โยมอย่าไปโกรธ อย่าไปโทษเทวดา แน่ะ! รู้อีกแน่ะว่าผมเคืองเทวดา ก็ผมคิดเอาไว้ในใจว่าถ้าเทวดามีจริงและมาจริง ต้องถูกลงโทษเพราะดูแลรักษาพุทธบริษัทไม่ดี ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่อันเป็นเขตนิวาสสถานของพระอริยบุคคล (อย่างงี้ต้องลาออกๆ)

เอาละครับ..หลวงพ่อสิมฯท่านเล่าไปเรื่อยๆแบบตามสบาย ท่านว่าเป็นกฎแห่งกรรม คนทำตำรวจจะจับไม่ได้ แต่เขาจะต้องเสวยผลกรรมอันนั้นไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน น่าสงสารเขานะ เขาติดยาเสพติด คิดว่าคณะของหลวงพ่อมหาวีระฯ มีทรัพย์มามากจึงมาขโมยของเอาไปซื้อยาเสพติด เขากำลังงัดแงะรถที่จอดอยู่ พอดีมีคนลงไปเขาก็ตกใจกระโดดหลบแอบอยู่ที่กอไม้ นายคนนั้นก็บังเอิญปวดทุกข์ ถอดเสื้อถือปืนเดินตรงไปที่เขา 

เขาคิดว่าเห็นเขา จะมาจับเขา เขาก็เลยยิงเอาแล้วหนีไป คนถูกยิงก็มีกรรมเก่า คนยิงมีกรรมใหม่หนักมาก น่าสงสารคนยิง แน่ะ! เป็นงั้นไป! แทนที่จะสงสารลูกน้องของผมคนที่ถูกยิง หลวงพ่อสิมฯกลับไปสงสารคนยิง ท่านย้ำว่าเป็นกรรมหนัก ผมถามท่านอีกว่า ตำรวจท้องที่เขาขึ้นมารายงานท่านหรือ ท่านยิ้มหัวเราะตอบว่าเปล่า ผมถามว่าแล้วหลวงพ่อฯรู้ได้อย่างไร ท่านกลับย้อนถามผมว่า แล้วโยมรู้ว่าอย่างไร ผมตอบว่า

“จริงครับ คนของผมไปสืบมาแล้วเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงกับที่หลวงพ่อฯพูดทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อฯรู้ได้อย่างไรครับ ?” 

ท่านร้องตัดบทว่า

“เฮ่ย..รู้ก็แล้วกันน่ะ โยมน่ะมีครูดีแล้ว หลวงพ่อมหาวีระฯไม่ใช่พระธรรมดานะ สร้างบารมีปรารถนาพระโพธิสัตว์เชียวนะ แต่เลิกได้ก็ดี ลูกศิษย์เยอะแยะตามสร้างบารมีมานาน แต่นั่นและพอหัวหน้าเลิก ลูกน้องก็จะเลิกตามบ้าง โอ้โฮ ลูกน้องลูกศิษย์เยอะจริงๆ คงต้องให้ไปอยู่ที่กามาวจรสวรรค์ก่อน ลูกน้องยังตั้งตัวไม่ทัน” 

“เออ..โยม นอนเสียเถิดหลับให้สบาย ไม่ต้องกลัวอะไร เหนื่อยมามาก นอนอยู่กับหลวงพ่อนี่เย็นใจ สบายใจ เก็บปืนเสียไม่ต้องใช้ หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนี้ไม่ใช่กิจของโยม เป็นเรื่องของอาตมา หลับเถิด หลับให้สบาย” สิ้นเสียงหลวงพ่อสิมฯ พวกผมก็หลับปุ๋ยไปโดยพลัน (ยังก๊ะ..โดนยานอนหลับ)


ผมมาสะดุ้งตื่นตอนราวๆตีสอง ที่รู้เวลาเพราะพอตื่นปุ๊บก็ดูนาฬิกาปั๊บ มองไปไม่เห็นหลวงพ่อสิมฯที่ที่นอนของท่าน เหลือบไปอีกที โอ้โฮเฮะ! อะไรกันน่ะ มีคนเต็มถ้ำจนเรียกได้ว่าแออัด รูปร่างเหมือนคนแต่ตัวโปร่งใส แต่งตัวเหมือนพวกเล่นลิเก ทุกคนสำรวมและเคร่งขรึม หลวงพ่อสิมฯนั่งอยู่บนอาสนะกลางถ้ำ ท่าทางเหมือนกำลังเทศน์เพราะนุ่งห่มพาดสังฆาฏิเรียบร้อย 

พอผมผลุดขึ้นนั่ง คนตัวใสๆ ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว ทุกคนที่มองมาที่ผมและมีพลังออกมาให้ผมรับรู้ว่าพวกเขากำลังไม่สบายใจ จิตของผมรับสื่อที่เขาส่งออกมาว่า เขาขอโทษผม พอผมเริ่มจะตื่นเต็มตัวและอยากลุกขึ้นมาพูดจาด้วย แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของหลวงพ่อสิมฯก็ลอยมาอีก

“โยม..นอนเสียเถิด นอนให้สบาย ไม่ต้องกังวล ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่กิจของโยม นอนเสียเถิด อาตมาดูแลเอง” 


หลวงพ่อสนทนากับหลวงปู่สิม

เพื่อให้เนื้อเรื่องสอดคล้องกัน ผู้จัดทำขอน้อมนำคำสนทนาระหว่าง หลวงพ่อกับหลวงปู่สิม จากหนังสือ "ล่าพระอาจารย์" เพื่อให้ได้ครบถ้วนอยู่ในเรื่องเดียวกันนี้ 






พระครูสันติวรญาณ (หลวงพ่อสิม)
วัดถ้ำผาปล่อง อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
องค์นี้ขึ้นชื่อโด่งดังมากในภาคเหนือ 
ดร.ปริญญา นุตาลัย นำคณะไปนมัสการหลวงพ่อสิม 
ตอนบ่ายวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๗

หลวงพ่อสิม (ส) : นิมนต์ถ้ำเลย โน่น ๆ ๆ เชิงดอย
หลวงพ่อฤาษี (ฤ) : ครับ ๆ แหม..ที่นี่สบาย ปกติพระท่านอยู่มากไหมครับ..ที่นี่ ?
ส. : อ๋อ..ปกติ ก็เมื่อพรรษา ๙ รูป
ฤ. : งั้นหรือครับ..พระที่อยู่นี่ท่านมุ่งดี?
ส. : มุ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ฤดูแล้งนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ
ฤ. : ก็เป็นธรรมดา (ชี้รูปหล่อโลหะหลวงพ่อสิม) นี่ทำเมื่อไรครับ?
ส. : นี่เขาเอามาเมื่อ ๒๔ ตุลา ดูจะใหญ่กว่าองค์จริง องค์จริงมันเล็ก แต่ดีกว่าองค์จริง ตั้งแต่มายังไม่เห็นไอสักที..เงียบ ! (หัวเราะ)
ฤ. : หิวก็ไม่หิว เมื่อยก็ไม่เมื่อย ผมก็ว่าอย่างนั้น จับไปโยนน้ำสัก ๑๐ ปี เอาขึ้นมาก็ปกติ
ส. : น่าน..!
ฤ. : เอ๊ะ..ใครดีว่าใครกันแน่
ส. : องค์นั้นแหละดี (พยักหน้าไปทางรูปหล่อ) (เสียงหัวเราะ)
ฤ. : ถ้าองค์จริงเน่าเสียอย่างเดียว รูปหล่อมันก็ไม่เกิด ของเน่ามันเพาะไม่ขึ้น 

(คุยกันไปมาเรื่องสถานที่)

ส. : เมษา ร้อน ๆ ก็นิมนต์อาจารย์มาพักนาน ๆ เย็นดี
ฤ. : ก็ดี..แต่อีตอนเหาะขึ้นเหาะลงนี่แย่ เห็นจะต้องฝึกเหาะ วันนี้มีคนมีบุญมากจริง ๆ อยู่ ๓ คน
ส. : อ้อ..น่าน !
ฤ. : คนที่เป็นโรคหัวใจ (เสียงหัวเราะ) ถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ มาไม่ถึง..เพราะเหนื่อย
ส. : อ้อ..ขึ้นสูงไม่ค่อยได้ ขาลงก็ง่ายละ
ฤ. : แต่ขาลงกลัวจะเบรคไม่อยู่เสียอีก (เสียงหัวเราะ)
ฤ. : ก็ดีเหมือนกันครับ เป็นการพิสูจน์ใจคน ถ้าเขาไม่มีศรัทธาแท้ก็มาไม่ถึง
ส. : มาไม่ถึง
ฤ. : มันไม่คละกันอยู่ จะให้อะไรก็ให้ง่าย สบายใจดี ไอ้ทางแบบนี้ ขึ้นบ่อย ๆ ก็หมดเรื่อง นาน ๆ ขึ้นก็แย่
ส. : เส้นเอ็นมันรู้จักพัฒนา
ฤ. : ครับ..ยังงี้ เขาเรียกสำนักพัฒนาเส้นเอ็น (เสียงหัวเราะ) 

(กับศิษย์) วันนี้ไม่ใช่วานซืนนะ ไม่ใช่หมู

(กับ ส.) วานนี้ต้องคน ๆ เดียวครับ เขาจะไปพูดธรรมกัน เดิมหลวงพ่ออยู่ไหนครับ ?
ส. : เดิม..อุปสมบทอยู่ขอนแก่น อยู่วัดศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น แล้วก็ย้ายไปหลายที่ มาอยู่เชียงใหม่นี่นาน ตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่น ผมขึ้นมาเชียงใหม่นี่มัน ๓๐ กว่าปีแล้ว
ฤ. : ยังงั้นหรือครับ
ส. : เป็นเจ้าอาวาสที่วัดแม่ริม เมืองมันใกล้เข้ามาเรื่อย ก็เลยเปลี่ยนมาสิบกว่าวัด อยู่ในป่านี่สบายดี
ฤ. : อยู่ป่าสบายดีครับ..มันสงัด ได้ทุกอย่าง แต่ดี..อยู่ในเมืองก็ดี อยู่ในเมืองก่อนแล้วมาอยู่ในป่าไม่อยากกลับเข้าเมือง ถ้าอยู่ป่าก่อนแล้วมันอยากกลับเข้าเมือง เพราะยังไม่รู้เรื่อง เห็นเมืองดีกว่า
สายเหนือกับสายอีสาน เข้มแข็งในทางปฏิบัติ
ส. : อีสานเคยไปบ่อยไหม?
ฤ. :ไม่บ่อยหรอกครับ แต่ว่าเคยไปตอนหนุ่ม ๆ ตอนแก่แล้วไม่ไหว ตอนนี้แย่หน่อย ตามข่าวนะครับ..ธรรมปฏิบัติ เอาจริงเอาจังกัน หลวงพ่ออยู่กับหลวงพ่อมั่นกี่ปีครับ ?
ส. : อยู่ตั้งแต่แรก บวชเป็นพระ ๒๔๖๙ สมัยนั้นอยู่ภาคอีสาน ต่อมาท่านขึ้นมาทางนี้ บวชเณรอยู่ ๓ พรรษา

(มีคนถามท่านว่าบวชมากี่พรรษา ตอบ ๔๖ พรรษา)

ฤ. : นิดเดียว ๔๖ พรรษาเท่านั้นเอง นั่งไล่เบี้ย (เสียงหัวเราะ) ถามน่ะ..ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ เกรงจะเอาไปคิดเป็นหวย (เสียงฮา) ไล่ไปไล่มาชักสงสัย หมุนไปหมุนมา
ส. : หลวงพ่อเท่าไร?
ดำรง นุตาลัย : องค์นั้นบอกจริงไม่ได้ครับ
ส. : ถ้าอย่างนั้น เอาหวยจากท่านไม่ได้
ฤ. : บอกเข้าเดี๋ยวคิดเป็นเลข ก็ดี..กี่พรรษาก็ชั่งมันตัดหางออกไม่ได้

(กับศิษย์) ดี..ยังงี้ดี ดี ไงรู้ไหม อ้าว..เราได้เปรียบไม่ต้องสร้างที่ เรามานอนสบาย หลวงพ่อเสียท่าเรา ยังมีอีกหลายองค์ไหมครับ พระที่สนใจอยู่ เท่าที่รู้จักนะครับ
ส. : ก็พอมีอยู่บ้าง
ฤ. : ที่สนใจ และตั้งใจดี สายเหนือ สายอีสาน ที่เข้มแข็งในการปฏิบัติ เอ๊ะ..ปริญญา ยังมีใครอีกองค์ อายุใกล้ ๆ กับหลวงพ่อแหวน
ปริญญา : หลวงพ่อคำแสนครับ
ฤ. : หลวงพ่อคำแสนวัดไหน ?
ปริญญา : วัดดอนมูล สันโค้งครับ อยู่สันทราย หลวงพ่อ (สิม) รู้จักไหมครับ ?
ส. : อ๋อ..เคยร่วมกัน อยู่คนละสาย แต่ร่วมอาจารย์กัน
ฤ. : กำลังจะมีงานครับ อยากจะหาพระ แต่ไม่ใช่หานักบวชนะครับ
ส. : อ๋อ..อือม์..หาพระแท้
ฤ. : จะอาราธนาไปเป็นกรณีพิเศษครับ ไม่ต้องการให้เหนื่อยมาก หลวงพ่อแหวนเป็นผู้ใหญ่เฒ่ามาก?
ส. : เฒ่ามาก
ฤ. : หลวงพ่อคำแสนจะไปได้?
ส. : พอไปได้อยู่
ฤ. : หลวงปู่ตื้อไปเสียแล้ว เสียดายจริงครับ

(หมายเหตุ :- หลวงปู่ตื้อเป็นพระมีชื่อเสียงอยู่ทางนครพนม และมรณภาพไปก่อนหน้านี้แล้ว บ้างก็กล่าวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมทิภาญาณ มีจุดสำคัญเฉพาะตัว คือ พูดตรงชนิด "ด่าไม่เลี้ยง")

หลวงพ่อสิมถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำว่า เคยไปเยี่ยมหลวงปู่ตื้อหรือ ?
ฤ. : เจอะกันครับ..ทะเลาะกัน
(หมายเหตุ :- ระวัง ท่านไม่ได้ตอบว่าเคยไปเยี่ยม)
ส. : ปฏิภาณโวหารมาก
ฤ. : ดีมากครับ แหม ปฏิภาณเก่งจริง ๆ ยอดจริง ๆ นี่ได้ตัวปัญญาจริง ๆ หายากเสียดาย
ส. : เคยถามสมัยท่านมีชีวิตว่า เอ..พระที่มีปฏิภาณโวหารนี่มีอยู่หรือในประเทศไทย ท่านตอบว่าไม่มี แต่ไอ้ปฏิภาณโวหารน่ะมันมี แต่ว่าเมื่อเพื่อนขัดคอมันมักโกรธองค์อื่นเป็นยังงั้น ไอ้ผมนะ..ขัดคอเฉยเสีย
ฤ. : ธรรมดาท่านเก่งจริง ๆ ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างคาดไม่ถึง
ส. : น่าน..คาดไม่ถึง
ฤ. : ปริญญา..วันนี้หลวงพ่อขออย่าให้ถอย (เสียงหัวเราะ) วันนั้นนวดหนัก..ยั่วแก ความจริงพระเขาทำแบบนี้ ถ้าอารมณ์ยังข้องตอนไหนอยู่ก็พยายามตัด ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ตัดไม่ออก
ส. : อ้อ..!
ฤ. : เราจะตัดเขา ไอ้เรา (เอง) ตัดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ (เสียงหัวเราะ)
ส. : มองคนอื่นมันมองเห็น มองเราเองมองไม่เห็น..มันใกล้ไป
ฤ. : นี่หนีเข้ามาอยู่ในถ้ำแล้วนา ไฟฟ้ายังตามเข้ามา ประปามี น้ำร้อนยังมีให้
ส. : เขามาตาม
ฤ. : ครับ..เราไม่ได้ไปดึงเขามา น่ากลัวจะกลิ่นแรง (เสียงหัวเราะ)
ปริญญา : กลิ่นศีล..หลวงพ่อ !

ฤ. : ถ้ากลิ่นอย่างอื่น อย่าว่าแต่ไฟฟ้าประปาเลย เสื่อกระจูดก็ไม่มี อย่างพระอินทร์ท่านว่า คนมาทักว่า ยกหม้อพระบังคลหนักพระพุทธเจ้าไปเทได้ยังไง เทวดาย่อมรังเกียใจมนุษย์ ห่างร้อยโยชน์ก็ไม่อยากจะมา เพราะกลิ่นมนุษย์มันเหม็น ท่านบอกว่าก็เราหอมกลิ่นศีลนี่ ไอ้กลิ่นศีลมันไปกลบกลิ่นอุจจาระหมด

ฤ. : (ปรารภ) อือม์..ชาวบ้านนี่เขารู้จักหาดี ความจริงนะโยม ฉันว่าชาวบ้านที่มาสงเคราะห์นี่โง่ เขาต้องสงเคราะห์พระมีพัดซี เขาว่างั้นต่างหากล่ะ พวกนี้โง่จัด..ไม่อยากลงนรก ไอ้เจ้าพวกนี้โง่มาก ถ้าสงเคราะห์หนักเกินไปละ ไม่ได้ผุดได้เกิด เจ้าพวกนั้นแน่ะ (เสียงหัวเราะ)

(กับหลวงพ่อสิม) นะครับ..ระยำไม่รู้จักดี ไงปริญญา..อย่ามาบ่อยนักนะ ต่อไปจะไม่ได้ผุดได้เกิดมาที่นี่น่ะ สมัยเด็ก ๆ เขาด่าแบบนั้นเราโกรธนะ
(หมายเหตุ :- ท่านคงฟังออกนะครับ ไม่ผุดไม่เกิดอีก หมายถึงไปนิพพานเสียแล้ว)
ส. : ครับ
ฤ. : เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาด่าแบบนั้นจริง ๆ หลวงพ่อจะว่าไงครับ
ส. : ก็ดี !
(เสียงหัวเราะ)
ฤ. : ชอบนะครับ?
ส. : ใช่
ฤ. : อารมณ์ไม่เท่าเด็กเสียแล้วซิ ความจริงมันแช่งผิดน่ะ มันแช่งให้เราหมดทุกข์น่ะ สำนักอาจารย์ฝั้น หลวงพ่อเคยสัมผัสมาหรือเปล่าครับ?
ส. : อ้าว..ก็อยู่ร่วมกันมา
ฤ. : คงไม่ไกลกัน? 

(หมายเหตุ :- ป่องสงสัยว่า คงหมายถึงว่า ท่านอาจารย์สิม ระดับคงไม่ไกลกับท่านอาจารย์ฝั้น)

ส. : ก็…บ้านใกล้ ๆ กัน
(อ้าว..หลบไปเสียโน่น)
ฤ. : รุ่นนั้นมีใครบ้างครับแถวนี้ ที่พอเรียกว่าใช้ได้?
ส. : มีอาจารย์ฝั้น อาจารย์ขาว อาจารย์ฝั้นเมื่อก่อน วันที่ ๑๒ ตุลาก็มา
ฤ. : พระลูกศิษย์ มีสนใจทางนี้ไหมครับ
ส. : มีบ้าง..คนสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจ สนใจทางนอก
ฤ. : ครับ..เขายังไม่เห็น
ส. : นั่น ๆ เขายังไม่เห็น
ฤ. : อีตอนนี้ซีครับ มารู้ว่าดีอีกทีหนึ่งตอนหลวงพ่อตายแล้ว ไอ้พวกนี้ เวลาอยู่ไม่ค่อยเอาหรอก…นะครับ
ส. : เออ น่าน…น่าน !
ฤ. : หลายองค์นะครับ..กว่าจะรู้ว่าอาจารย์ดีก็อาจารย์ตายไปเสียแล้ว
ส. : น่าน..!
ฤ. : พอเขาพูดว่าดีก็บอกว่า เอ๊..ฉันก็เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน ทำไมไม่ได้ล่ะ
ส. : ครับ
ปริญญา : คืนนี้เอาไงดีครับหลวงพ่อ ?
ส. : เอาหลวงพ่อใหญ่ท่านซี
ฤ. : ผมไม่เอาครับ ผมไม่ใช่เจ้าของบ้าน เอางี้ซีครับ..เขามาเอาแล้ว หลวงพ่อต้องให้เขา

(หมายเหตุ :- คือคณะกรุงเทพฯ จะมาเอาธรรมจากหลวงพ่อสิม)

ส. : อ้าว..ก็ท่านอาจารย์ให้จนเต็มปรี่ยังจะเอาอีกอยู่หรือ ?
ฤ. : เดี๋ยวก่อนครับ..ไอ้น้ำมันเต็มตุ่มได้ แต่ข้างตุ่มมันยังไม่สวย (เสียงหัวเราะ) มันไม่แน่นักหรอก คือว่าความชำนาญแต่ละฝ่าย สมัยเมื่อเด็ก ๆ นะครับ ผมหนุ่ม ๆ หลวงพ่อปานท่านก็สั่งเรื่อย ถ้าที่ไหนดีท่านไม่เคยกีดกันนึกว่าท่านดีกว่า ท่านบอกว่าแต่ละองค์ย่อมมีความชำนาญต่างกัน
ส. : ครับ
ฤ. : ลีลาต่างกัน..เพราะว่าความฉลาดทุกอย่างนี่ มีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียว
ส. : ครับ
ฤ. : มาที่นี่หลวงพ่อก็ต้องให้เขา (เสียงฮา) เขามาแล้วนี่
ปริญญา : ผมขอเสนอ ๔ ธรรมมาสน์เป็นไงครับ ?
ฤ. : หือ? ไม่ต้องหรอก อย่า…เผื่อเจอของดีเอาไปให้ได้ ไอ้ของเราเมื่อไรก็ได้สตางค์ของเรา เราใช้เมื่อไรก็ได้

(หมายเหตุ :-มาทราบภายหลังว่าได้ประกาศไว้ว่า หลวงพ่อจากกรุงเทพจะไปเทศน์)

ฤ. : ไม่..ไม่ควร
ปริญญา : ไม่ควรหรือครับ
ฤ. : มางี้..ไม่ควร เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านว่าเอา
ส. : อาจารย์ท่านฉลาด..ไปได้..ลอดไปได้ (เสียงฮา)
ฤ. : ความจริงก็ฉลาดมาด้วยกัน ออกจากท้องแม่มาด้วยกัน เปล่า..เท่ากันแหละ ท่านสอนดีอยู่แล้ว ท่านจะไม่เอาเรื่องของท่าน แล้วยิ่งฟังหลายกระแสด้วยยิ่งไม่ดี อย่างพวกเรานี่ต่างหาก เพราะว่าพวกเราตั้งใจมา พวกเราไม่มีฝืน นอกจากจะเห็นว่าปรับปรุง ช่วยประคองให้ดีขึ้นนะ เอางี้ดีกว่านะ..กมลชัย เราจะได้นอนสบาย (เสียงฮา)

เอางี้ก็แล้วกัน ถ้าเป็นพระที่ไม่พอใจนิดหนึ่งก็ไม่พาบริษัทมา ไอ้บ่อนี้ไม่มีน้ำเดินมาเหนื่อยเปล่า

(หมายเหตุ :- อย่างนี้ป่องก็ต้องแปลว่าท่านรู้มาก่อนแล้วนะซี?)

แหม..ดี จะได้เป็นเครื่องประดับ นะ เห็นว่าลีลาการปฏิบัติ มรรคผลย่อมถึงเสมอกัน แต่ว่าไอ้เกณฑ์แห่งการฉลาดหรือนัยหนึ่ง การชำนาญย่อมไม่เสมอกันนะ นี่ถ้ามีพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องไปหาใคร เพราะท่านรู้รอบ ไอ้พวกเรานี่มันได้ตะพดกันคนละอัน (เสียงหัวเราะ)

นั่นอันโต นี่อันสั้น นั้นอันยาว ได้ไม่เสมอกัน พระพุทธเจ้าท่านมีอาวุธทุกอย่าง มันเหมาะกับใครอันไหนท่านก็จ่าย พวกเรามีอันเดียว ปล่อยดะ นี่มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องแจกตะพดเรา (เสียงหัวเราะ) จะได้สู้กับกิเลส เสียดายหลวงพ่อตื้อ หลวงพ่อตื้อไม่รูป ยังมีพิษนะครับ
(หมายเหตุ :- คงหมายถึงว่าตายแล้วยังมีพิษ)
ส. : อ้อ
ฤ. : ฤทธิ์เดชมาก..ดีมาก
ส. : บางทีเวลานี้ ท่านจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้
ฤ. : ฮึ..มานานแล้ว ! (เสียงฮา) ไม่ใช่จะมา..มานานแล้ว ไม่ “จะ” หรอกครับ เป็นพระที่น่ารักมาก
ส. : ครับ
ฤ. : ชอบในปฏิปทา คือไม่อั้นใครทั้งนั้น เรื่องตอบเลี่ยงคนไม่มี ตรงไปตรงมาหายาก
ส. : ครับ
ฤ. : นี่ธรรมแท้ ถ้าขืนทำละพังเลย ขืนตั้งกำแพงเมื่อไรชนพังเมื่อนั้น ดีจริงหายาก หาไม่ได้ แต่ก็ยังมีอยู่ ที่นี่ก็ยังมีองค์หนึ่ง
ปริญญา : ใครครับหลวงพ่อ ?
ฤ. : นี่..อยู่ตามถ้ำนี้แหละ ไม่ช้าหรอก ไม่ช้าเป็นหลวงพ่อตื้อองค์ที่สอง
ส. : (หัวเราะ)
ฤ. : ก็เหมือนกัน แต่จะให้ใช้เสียงเท่ากันน่ะมันไม่ได้หรอกนะ พรรค์นี้มันของเดิมมานี่ครับ ของติดเดิมมา ลีลาต่าง ๆ
ส. : แล้วก็ถ่ายทอดหลวงปู่ตื้อให้ฟังสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดี
ฤ. : พอแล้วครับ หลวงพ่อเก็บไว้เยอะแยะ พอแล้วครับ..ผมว่าไม่ใช่ถ่ายไปจากผม ผมต้องถ่ายจากหลวงพ่อ ไม่ช้าผีหลวงปู่ตื้อสิง (เสียงหัวเราะ)

ว่ายังงั้นนี่ครับ จวนอยู่แล้ว ไม่ช้าเผลอ ๆ พ่อสิงเต็มตัวเมื่อไรก็ไม่รู้ เอ๊ะ..วันนั้นใคร พ.ต.ท. อนุชา ที่มาวันหลวงพ่อตื้อมรณะ แล้วหลงเข้าไปวัดหลวงพ่ออะไรนะ ใครเขามาหาหลวงพ่อตื้อครับ เขาไปหากระผมที่วัดโน้น บอก เอ๊ะ..แกเที่ยวไหว้พระเปะปะทำไมวะ หลวงพ่อตื้อมีอีกองค์ รีบไป..เดี๋ยวตาย แล้วมันไปช้าอยู่กี่วันไม่ทราบ มันมาพอดีวันตายเลย
ส. : อ้อ
ฤ. : มันหลงทางไป มาไม่ตรงวัดหลวงพ่อตื้อ ไปวัดไหนก็ไม่ทราบ ไปเจอะหลวงอะไร พอดีหลวงพ่อองค์นั้นได้รับโทรเลขแล้วท่านก็ไม่ได้ฉีกดู พอฉีกดู อ้าว ! หลวงพ่อตื้อมรณะ ให้รีบไป เลยอาศัยรถเจ้านั่นไป ม่ายยังงั้นไม่มีรถ นี่แสดงว่าหลวงพ่อตื้อมีฤทธิ์มาก ตายแล้วยังมีเดชให้ไอ้นั่นหลงทางมาชนเอาพระที่ท่านต้องการให้เป็นเจ้าภาพ พระอะไรไม่ทราบชื่อ ท่านบอกว่าพึ่งทราบว่าหลวงพ่อตื้อมรณะ แต่ไม่มีรถไป ไอ้เจ้านั่นก็ดันหลงทางไปวัดนั้นแหละ แสดงว่าหลวงพ่อตื้อไม่เลว ตายแล้วยังมีฤทธิ์

(กับศิษย์) อยู่นี่แหละดี..กังวลน้อย กายวิเวกดี แล้วเราจะได้จิตวิเวกง่าย ๆ เมื่อจิตวิเวกเกิดขึ้น อุปธิวิเวกมันก็เกิด อันนี้สำคัญมาก ไอ้แดนที่อยู่นี่มันต้องเลือกเหมือนกัน ต้องเลือก..ใช่ไหมครับ ?
ส. : ครับ
ฤ. : ถ้าไม่เลือกก็แย่ ถ้าเราไปอยู่ในส้วมก็หากลิ่นหอมไม่ได้หรอก
ส. : น่าน…น่าน
ฤ. : นอกจากสุนัขหรือหมู นี่มีความสำคัญ กลางคืนมีแขกรบกวนเยอะไหม ?

(หมายเหตุ :- คงหมายถึงแขกที่ไม่ใช่มนุษย์)

ส. : อ้า..ไม่มีเท่าไร..กำลังสบาย !
ฤ. : แขกไม่มี ?
ส. : แขกก็ไม่มี มีแต่คนไทย (เสียงหัวเราะ)
ฤ. : เออ..ยังจะคุยกันอีกนานไหมนี่” นี่เห็นไหมหลวงปู่ตื้อมาแล้ว..บอกแล้ว ประเดี๋ยวหลวงพ่อตื้อมา อันนี้ดี..อยู่ในป่า ผีปรากฏบ่อย ?
ส. : ก็ปรากฏบ้าง
ฤ. : นี่จึงจะพบของจริง นี่ละแขก ระวังนะ ผีดุที่นี่ ไปนั่งจ้องซี ถ้าอยากได้หวยผีมาก็ขอหวย ถ้าให้ไม่ได้ก็อายไป เลยไม่มา
ศิษย์หญิง. : หวยไม่อยากได้ อยากได้พระธรรม
ฤ. : อ้อ นึกว่าอยากได้ฎีกา..หลวงพ่อมี (เสียงหัวเราะ) พระธรรมจะเกิดได้ ต้องอาศัยความดีมีอยู่ ได้ดีอย่างอื่นนอกจากฎีกาก็ไม่น่ะ (เสียงหัวเราะ) ต้องเอาฎีกาไปก่อน หาความดีให้พบจึงได้พระธรรม คุยสนุก ๆ คืนนี้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อนะ 

เป็นอันว่าจบรายการสนทนาระหว่างหลวงพ่อทั้งสอง ส่วนในตอนค่ำเป็นการเทศน์ของหลวงพ่อสิม จะไม่นำมาลงไว้เพราะยังมีการสนทนาตอนอื่น ๆ อีก "ป่อง" ขอเสนอข้อสังเกตจากการสนทนาครั้งนี้

ข้อแรก..หลวงพ่อสิมอาจจะสงสัยหรืออาจจะซ้อมดูว่า หลวงปู่ตื้ออยู่แถวบริเวณที่นั่งคุยกันหรือเปล่า ข้อนี้อาจเป็นไปได้ว่าหลวงพ่อสิมท่านมี “ตาทิพย์” มองเห็นอะไรต่ออะไรได้ เช่น เห็นหลวงปู่ตื้อ แต่การ “เห็น” เช่นนี้เป็นเรื่องคับอก เพราะเห็นคนเดียวจะบอกใครก็ยาก จะถามใครก็ยาก จึงทำให้มั่นใจไม่ได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ที่ท่านเห็นนั้นเห็นจริง ไม่ใช่ประสาทหลอก 

เมื่อปรารภออกมาหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ยืนยันให้ว่าหลวงปู่ตื้อมาแล้ว มานานแล้วด้วย คำตอบนี้คงจะเป็นเครื่องให้กำลังใจว่าการเห็นนั้นหลวงพ่อสิมเชื่อได้เต็มที่ ทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องอื่นอีกมาก หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการซ้อมดูว่าหลวงพ่อฤาษีจะมีทิพยจักขุญาณหรือไม่ก็เป็นได้

เรื่องนี้..ในภายหลังหลวงพ่อฤาษีเล่าให้ศิษย์ฟังว่า หลวงปู่ตื้อมานานแล้ว นั่งอยู่บนยกพื้น ฉะนั้น ตอนที่หลวงพ่อสิมนิมนต์ให้หลวงพ่อนั่งยกพื้นท่านจึงไม่นั่ง บอกว่า นั่งที่นี่ (ข้างล่างเสมอ ๆ กับหลวงพ่อสิม) เหมาะแล้ว

ข้อสอง..หลายท่านอาจจะสงสัยว่าหลวงพ่อฤาษีพูดอะไรที่ว่าหลวงปู่ตื้อจะสิงเต็มตัว ข้อนี้ต้องอธิบายว่า ใครต่อใครมักจะมา “ยืมปาก” หลวงพ่อพูดบ่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะเข้าทรง แต่เป็นลักษณะดลใจมากกว่า อย่างประโยค “เออ ยังจะคุยกันอีกนานไหมนี่” นั้นก็เป็นเรื่องที่หลวงปู่ตื้อพูด ไม่ใช่หลวงพ่อ ท่านบอกว่าเราเป็นแขก จะไปพูดยังงั้นได้รึ ถึงได้อธิบายต่อท้ายทันทีว่า เห็มไหมล่ะ บอกแล้วว่าหลวงพ่อตื้อมา (จับปากพูด)

ข้อสาม..หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกใบ้ว่าไม่ช้าคนอยู่แถวถ้ำก็จะเป็นอย่างหลวงปู่ตื้อ คือว่าหลวงพ่อสิมนั้นเองจวนจะสำเร็จกิจพระศาสนาแล้ว เรื่องนี้หลวงพ่อกระซิบกับพวกเรา ภายหลังว่าหลวงพ่อสิมยังติดนิดเดียว สงสัยว่าการมาของพวกเราคราวนี้คงเป็นการสะกิดอะไรบ้างอย่างทำให้ท่านหลุดพ้นไปได้เลย (ต่อมาภายหลังเพียงไม่กี่วันหลวงพ่อก็ตอบคำถามพวกเราว่าได้เป็นอย่างที่ท่านแจ้งไว้แล้ว คือหลวงพ่อสิม ขยับขึ้นไประดับเดียวกับหลวงปู่ตื้อแล้ว)

ที่มา - หนังสือล่าพระอาจารย์
ลอกเทป - ป่อง โกษา (พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)